For ENGLISH version please click here
จดหมายจากกรุงเทพ
โดย ผู้กำกับของท่าน
วันพุธ 19 พ.ค. 53
เครือเอเพ็กซ์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ กิจการฉายหนังที่เป็นอิสระจากค่ายยักษ์ใหญ่บริษัทเดียวในกรุงเทพ ควบคุมโรงหนังทั้งสามโรงในสยามสแควร์ : สกาล่า สยาม และลิโด – สามใบเถาเคยงาม ดาวเด่นจากยุคฮิปปี้ ที่ได้เฝ้ามองความซ่าของวัยรุ่นไทยมาหลายสมัย
ลิโด ซึ่งเป็นสถานที่ฉายหนังอิสระแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง คือ ความหวังอันสูงส่ง และที่พักพิงของทั้งนักทำหนังและคอหนังอิสระ มันจึงเป็นเรื่องเศร้าหนักหนาสาหัสเมื่อเอเพ็กซ์ปฏิเสธที่จะฉาย ‘พลเมืองจูหลิง’ สารคดีของเราเรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงสี่เดือนสุดท้ายอันน่าหวาดหวั่นใต้รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เหตุผลที่เอเพ็กซ์ให้กับเราคือกลัวเสื้อแดงจะเผาลิโด ถ้าฉาย ‘พลเมืองจูหลิง’
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์จลาจลช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว ซึ่งหมายความว่า เขากลัวก่อนที่จะมีเหตุผลจำเป็นให้กลัว แต่ความรอบคอบที่ผลักดันให้เขาเซ็นเซอร์ตัวเอง กลับไม่สามารถพิทักษ์ทรัพย์สินไว้ได้ บ่ายนี้ อันธพาลแดงของทักษิณเผาโรงหนังสยามจนแทบสิ้นซาก ส่วนลิโดเองนั้นไม่ไหม้ แต่ก็หวุดหวิด
ยามนี้ที่กำลังมีเหตุชุลมุนวุ่นวาย คอขาดบาดตาย ขอเล่าอีกเรื่องอันฟุ้งเฟ้อและส่วนตัวจนน่ารังเกียจ : เราไม่สามารถหาซื้อเสื้อเชิร์ตที่ดูเหมือนแพงให้เจ้าฟ้ามั่นคำ (Malcolm ใน Macbeth ฉบับไทยที่เราถ่ายทำอยู่) กับพระยาเมฆดับ (Macduff) –เสื้อผ้าแนวเจ้าชายวิลเลี่ยมนั่งลำลองอยู่กับบ้าน – สำหรับฉาก 36 กับ 37 (ที่เมฆดับไปหามั่นคำที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เพื่ออ้อนวอนให้ยกทัพกลับมากู้ชาติจากทรราชที่สังหารพระบิดาของมั่นคำและฆ่าตัดตอนประชาชน) เพราะเมื่อเสื้อแดงยึดราชประสงค์ ร้านเดอะแก็พก็จำต้องปิดไป ทำไมจึงต้องเป็น ร้านแก็พ ? เพราะว่ามันไม่แพงมาก แต่ดูเหมือนแพงได้ ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ของเราเป็นหนังผีทุนต่ำ เราไม่บังอาจเพ้อฝันถึงราล์ฟ ลอเรน หรือเบอร์เบอรี่
เรื่องนี้คือข้อพิสูจน์พันเปอร์เซ็นต์ ว่าคนอย่างเราคืออมาตย์ศักดินาห่าเหว ซึ่งสมควรถูกไพร่ฉีกเป็นชิ้นๆ นักวิชามารน้ำลายแตกฟองทั้งหลาย ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ละเอียดอ่อนระหว่างทุกองค์ประกอบในสังคม ย่อมเห็นเช่นนั้น หากว่าคุณเป็นนักข่าวฝรั่ง นั่นคือบทสรุปที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ สมองไดโนเสาร์เท่ากลักไม้ขีดของคุณ ไม่มีทางนึกได้ว่า ไอ้ไฮโซดัดจริตจากโลกที่สามอย่างเราที่ทำหนังผีเชคสเปียร์นั้น ก็กำลังต่อสู้ทรราชเช่นกัน – ทรราชแห่งความโง่เง่าและความโลภ
การผจญภัยกับเชคสเปียร์ของเราไม่ได้รับการสนับสนุนโดยกองทุนภาพยนตร์ของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นภายใต้นโยบาย‘ไทยเข้มแข็ง’ คือออกแบบมาให้ยกระดับความคิดของคนไทย เพื่อปกป้องประชาชนจากนักการเมืองประชานิยมซื้อเสียง คณะกรรมการอันทรงเกียรติ ประกอบด้วยตัวแทนจากค่ายหนังยักษ์ นักวิชาการ นักวิจารณ์ และข้าราชการ ปฏิเสธหนังเราเพราะว่ามีฉากฆ่ากษัตริย์ (ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นก็ตาม) แหม โทษที ก็มันมาจาก‘โศกนาฎกรรมแม็คเบ็ธ’ ของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ไอ้ตัวพระเอก/ผู้ร้าย มันฆ่ากษัตริย์เพราะมันมักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นกษัตริย์เสียเอง ตัดพล็อตตรงนี้ออกไปแล้วมันจะเหลืออะไร
สุ้มเสียงระทึกหูของนักข่าวบีบีซีดังออกมาจากทีวี : “กรุงเทพลุกเป็นไฟ! นี่คือกรุงเทพตอนนี้” บ่ายนี้ สาวๆ (ปุ๋ม-ผู้จัดการกองถ่าย, หมู-ผู้ดูแลเสื้อผ้า และเฟี่ยว-คุณหญิงเมฆเด็ด ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่ออฟฟิศอีกฝั่งถนน) ย้ายวิกมาที่บ้านฉัน นั่งกันอยู่รอบทีวี พร้อมแล็พท็อปที่เปิดอ้าอยู่คอยติดตามข่าว แต่กว่าจะข้ามถนนมาถึงตรงนี้ได้ (ระยะทางประมาณ 350 เมตร) พวกเธอต้องผจญภัยกันพอสมควร
เฟี่ยว : “พอเราออกมาจากซอย กระแสคนที่กำลังมุ่งหน้าหนีอโศก มันเหมือนน้ำบ่าเลย ทุกคนเคลื่อนไหวกันอย่างเร่งรีบไปทางพระโขนง ให้พ้นจากใจกลางเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟ ทั้งรถทั้งคน–-พนักงานออฟฟิศ ชาวแบงค์ ชาวซูเปอร์มาร์เก็ต ทุกคนหลั่งไหลมาบนถนนสุขุมวิท รถเมล์สาย 2 วิ่งมา พอเห็นจำนวนคนที่รออยู่ก็รีบหักหัวเลี้ยวหนี แต่คนก็วิ่งตามกระโดดขึ้นไปจนได้
“และขณะที่เรากำลังเบียดฝูงคนมาเรื่อยๆ ในกรอบหน้าต่างร้านเฟอร์นิเจอร์หรูมีภาพปรากฏเป็นชายจรจัด ผิวหน้าขรุขระด้วยสิวสีเขียวอมดำ ผมหยิกรุงรัง ตัวเขาสีน้ำตาลอมเหลือง ใส่เสื้อเชิร์ตสีดำกับกางเกงดำ และในมือเขาคือจู๋ขนาดยักษ์ – หัวจู๋รูปหัวใจที่มีลายเส้นดอกบัวบนหัว มันมองเห็นชัดมาก ขณะที่เขาชักว่าวและยิ้มแฉ่ง ราวกับว่ากำลังดื่มด่ำกับสถานการณ์นี้เหมือนเด็กในร้านลูกกวาด ถัดมา ในร้านเสื้อผ้าหรูข้างๆ ลูกค้ากำลังลองชุดราตรียาวชีฟองสีหยกอ่อน โดยมีเจ้าของร้านกับช่างเสื้อทำท่าเหมือนอยากรีบปิดร้านหนีเต็มแก่ หญิงสาวคนนั้นสวยมาก และมีรอยสักบนต้นแขน”
ช่างน่าเสียดายที่ฉากร้อยตัวประกอบฉากนี้ไม่มีอยู่ใน ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เพราะมันแพงเกินเอื้อมของเรา ฉันควรจะออกไปเก็บภาพเหล่านี้ช่วงที่เราถูกบังคับให้หยุดถ่ายทำ แทนที่จะนั่งดูข่าวทีวีอยู่กับบ้าน
แน่นอนว่าฉันไม่บังอาจหวังได้ว่า หากลิโดกล้าฉาย ‘พลเมืองจูหลิง’ หรือไทยพีบีเอสนำออกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ให้ประชาชนได้รับรู้ โรงหนังสยามอาจไม่กลายเป็นเถ้าถ่าน อย่างไรก็ตาม ฉันอดคิดไม่ได้ว่า หากว่าสังคมนี้เขยิบพื้นที่ให้คนอย่างเราสักนิด – พื้นที่น้อยนิดเท่านั้น – ให้โอกาสเราได้มีส่วนร่วมในการฟูมฟักบ่มเพาะวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย ซึ่งก็คือวิญญาณของเรานั่นเอง--หากสังคมนี้ยอมให้เราได้เล่าเรื่องเมืองไทยฉบับของเรากับเขาบ้าง มันก็น่าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อโฆษณารถและไวท์เทนนิ่ง ละครน้ำเน่าและเกมโชว์ เหล่าอาหารขยะสมองที่ทำให้จินตนาการของคนไทยเหี่ยวเฉาเน่านิ่ม จนสุกงอมพร้อมกลืนกินการชักใยยุยงของเครื่องจักรโฆษณาชวนเชื่อของระบอบทักษิณ จนเราต้องทนเห็นภาพคนจนร้องไห้สงสารพระเอกหน้าเหลี่ยม เมื่อเงินที่โกงชาติมาเป็นหมื่นๆล้านถูกริบโดยรัฐบาล จากแรงขับดันของประชาชนที่มีความคิดและเรียกร้องหานิติรัฐ ซึ่งต้องกลายเป็นศัตรูโดยปริยาย
เป็นพักใหญ่ๆ ที่วัฒนธรรมทางการของไทยอนุโลมเนื้อที่ให้ความเท็จและโฆษณาชวนเกลียดของทักษิณล้างสมองสังคมไทย ก่อสร้างความชิงชังแตกหักและความตาย ในขณะเดียวกับที่กดขี่ปิดกั้นบทบาทและเสียงของนักทำหนังอิสระ
ทางการไทยดูเหมือนว่ามีนโยบายทางปฏิบัติเพียงสองอย่าง คือปิดกับเปิด ครั้นจะส่งเสริมสรรเสริญเยินยอก็โหมโรงกระหน่ำกันจนคนเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน บทจะเซ็นเซอร์ก็ปิดก็ตัดบั่นทอน บทจะสร้างความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณก็ทำได้แค่เอาพระมาเทศนาธรรม เอาผู้ใหญ่มาตักเตือนเป็นข้อๆ ทั้งข้อควรข้อห้าม แทนที่จะสร้างภูมิต้านทานให้ประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยการส่งเสริมจินตนาการให้เขารู้จักคิดเองเป็น วิเคราะห์ทุกข้อมูลทั้งเท็จและจริงได้ด้วยตัวเอง
ตรงนี้ขอหยิบยกคำสอนจากอี้ชิง คัมภีร์โบราณของจีน : “ในที่สุดแล้ว วิธีต่อสู้กับความชั่วร้ายที่ดีที่สุดคือการเร่งขมีขมันสร้างความก้าวหน้าในเรื่องที่เป็นความดี”
กลับมารอบจอทีวีที่บ้านเรากับสาวๆ ขณะที่เราโต้เถียงกันว่าสงสัยจะต้องยกเลิกการถ่ายทำฉากงานเลี้ยงผีที่มีกำหนดถ่ายวันศุกร์กับเสาร์นี้หรือไม่ ทันใดก็มีคำตอบมาจากทางด้านถนนพระรามสี่ในคราบเสียงปืน และแล้วจอโทรทัศน์ก็ดับมืด พร้อมกับไฟฟ้าทั้งซอย กลิ่นควันลอยเข้ามาตามลมจากโรงไฟฟ้าคลองเตยและตึกช่องสามที่กำลังลุกไหม้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเรา
บางครั้ง ฉันรู้สึกเหมือนว่ากำลังเขียนภาพบนผ้าใบด้วยสีน้ำมัน – การทำหนังที่เต็มไปด้วยภาพติดตาเรื่องนี้มันช่างใช้กล้ามเนื้อหยาดเหงื่อ และมาจากสัญชาตญาณก้นบึ้งทรวงในจริงๆ ก่อนเหตุการณ์นี้ เราล้ำหน้าตารางถ่ายทำอยู่สองวัน มาบัดนี้ เรากลายเป็นล่าช้าถึงหนึ่งอาทิตย์ เราเริ่มถ่ายทำกันใหม่วันที่ 1 มิถุนา
จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกันที่ได้หยุดพักยาวเติมแรง อาทิตย์นี้เมฆเด็ด (แม็คเบ็ธ) กลับบ้านไปทำงานประจำของเขา คือเป็นรองนายกเทศมนตรีเมืองเล็กๆในภาคอีสาน เขาโทรมาเล่าว่า ชาวบ้านนั่งดูข่าวในทีวีแล้วบอกว่าทั้งรัฐบาลและนักข่าวโกหกทั้งเพ เพราะแท้ที่จริงทหารกำลังสังหารผู้หญิงและเด็กเสื้อแดงที่ยอมแพ้แล้วอย่างทารุณ
‘เมฆเด็ด’เคยบอกเราอย่างท้อแท้ว่า “ประสบการณ์ที่ได้จากการเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ทำให้ผมเห็นชัดเลยว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของบ้านเมืองนี้คือความโง่ของชาวบ้าน” ความอัดอั้นตันใจเศร้าหมองนี้เป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เขาทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการแสดงเป็นแม็คเบ็ธฉบับไทย
เราไม่ก่อจลาจลแบบดีไซเนอร์ เราไม่สร้างสถานการณ์วางเพลิงแบบดีไซเนอร์ (ดูจากเป้าหมาย ทั้งโรงไฟฟ้าคลองเตยกับตลาดหลักทรัพย์ ทั้งศาลากลางจังหวัด ทั้งศูนย์การค้าที่เป็นศัตรูของทักษิณ ถ้าไม่เรียกว่ามีการวางแผนออกแบบสร้างภาพมาอย่างเลือดเย็น แล้วจะให้เรียกอะไร) เราไม่เผายางเป็นภูเขา (นี่ก็หลายตังค์) หรือทุบปล้นตู้เอทีเอ็ม ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ คือการต่อสู้ทางการเมืองของเรา คือการกู้ชาติแบบเรา ด้วยความเชื่อมั่นว่าความกลัวนั้นต้องต่อสู้ด้วยศิลปะที่สร้างขึ้นมาด้วยความรัก นั่นคือความหวัง
พฤหัส 20 พ.ค.
ไข้เคอร์ฟิวผลักดันให้เราสี่คนที่เหลืออยู่ในออฟฟิศขับรถไปเมืองโบราณ โดยมีข้ออ้างว่า เผื่อจะมีปัญญาไปถ่ายฉาก 32 ที่นั่น โดยที่จะไม่ต้องใช้ CG
เราแข่งเส้นตายเคอร์ฟิวขี่รถถีบไปถึงชายแดนเขมร ปีนขึ้นไปบนเขาพระวิหาร ธงสยามช้างเผือกบนพื้นแดงโบกสะบัดอยู่บนยอดเขาเหนือหัวเรา ‘กำพูชา’จนสุดลูกหูลูกตามีแต่นิคมอุตสาหกรรม
วันนี้เมืองไทยฉบับกระเป๋าแห่งนี้เป็นของเราเกือบเพียงผู้เดียว แทบไม่มีใครอื่นเลย รวมทั้งในซ่องและบ่อนการพนันใน‘ตลาดศาลเจ้าเก่า’ ซึ่งเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์โรแมนติคย้อนยุค
ขากลับ ขับอ้อมสมุทรปราการที่เชื่อว่าเป็นถิ่นเสื้อแดง ถึงบ้านก่อนเคอร์ฟิวหนึ่งชั่วโมง
วันศุกร์ 21 พ.ค.
วันนี้เราพาเลดี้แม็คเบ็ธ(เฟี่ยว) กับเลดี้แม็คดัฟ(พลอย) ไปดูซากไหม้โรงหนังสยาม ไม่ได้ไปง่ายอย่างที่คิด (รถ, แท็กซี่, มอเตอร์ไซค์ ซึ่งฉันซ้อนสองไปกับเลดี้พลอย และเดินเท้าตามลำดับ) เพราะมีด่านทหารโดยรอบ แต่ถ้าเรารอถึงพรุ่งนี้ เขาคงไม่ให้เราเดินเข้าไปในโรงหนังอย่างที่เราทำวันนี้ เพราะมันดูเหมือนใกล้จะถล่มลงมา
โรงหนังสยามเหลือเพียงเปลือกซากดำเกรียม หลายรูในเพดานฟุ้งแสงยามเที่ยงวัน บนพื้นระเนระนาดเศษแก้วและของมีคมอันตราย บันไดเลื่อนเหลือแต่โครงกระดูก เสาต่างๆเหลือเพียงเส้นเหล็กคดงอ น้ำพุหักพัง และเลดี้แม็คเบ็ธที่เกิดอาการของขึ้น ลุกขึ้นฟ้อนรำอยู่ในลำแสงคลุ้งฝุ่นท่ามกลางซากปรักหักพัง
โรงหนังสยามเปิดประตูครั้งแรกด้วยหนังสงครามโลกครั้งที่สอง ‘Battle of the Bulge’ และปิดม่านลงด้วย ‘Iron Man ภาค 2’ กับ ‘The Bounty Hunter’ โปสเตอร์หนังเหยียดสตรีเรื่องหลัง (ภาพผู้ชายถือกุญแจมือนั่งทับร่างผู้หญิง) ไม่มีร่องรอยของการเผาไหม้แม้แต่น้อย ผมทองไร้ที่ติของเจนนิเฟอร์ แอนนิสตัน ดูแปลกแยกในที่นั้นราวกับหิมะกลางป่าดงดิบ
บนกำแพงเหนือบันไดที่อาจเคยใช้เป็นทางพรมแดงให้ดาราเดินในรอบปฐมทัศน์ ยังคงเหลืออยู่อีกสิ่งที่ไฟไม่ได้ทำลาย แต่มันเป็นโลหะบรอนซ์ : รูปปั้นหน้ากากคู่แฝดที่เป็นสัญลักษณ์ ศิลปะการละครของกรีกโบราณ พักตร์หนึ่งหัวเราะ – ตัวแทนละครตลก อีกพักตร์ร่ำไห้ – ตัวแทนละครโศกนาฎกรรม รูปปั้นหน้ากากคู่นี้เป็นตัวอย่างศิลปะตกแต่งประดับฝากิ๊กก็อกชั้นดีจากยุค ค.ศ. 1960
สิ่งที่ติดค้างอยู่จากฉากนี้มากที่สุดคือกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญกลั่นน้ำหอมจากฝรั่งเศสน่าจะบรรยายออกมาทำนองนี้ : “โน้ตบนที่เป็นกลิ่นยางไหม้นั้นลอยอยู่เหนือโน้ตล่างที่เป็นกลิ่นขี้คน” ถัดจากขาหุ่นโชว์เสื้อที่เหลวละลาย ฉันแวบเห็นคำภาษาฝรั่ง “จิ๋ม, เลียไข่, ฟัก, โยนี, องคชาติ, ไหล, โสเภณี” – ตัวอักษรสีสะท้อนแสงบนเสื้อยืดสีดำที่ไหม้ไปกว่าครึ่งตัวในร้านใต้โรงหนังสยาม
หากว่าเอเพ็กซ์ต้องเจ๊งเพราะเหตุการณ์นี้ จะเป็นเรื่องที่โหดร้ายและสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อนักทำหนังและคอหนังอิสระชาวไทยทุกคน ที่จริงมันน่าจะไปเผาพารากอนมากกว่า เห็นท่าดีไซเนอร์การจลาจลของทักษิณดูเหมือนจะพลาดไปหน่อย เพราะมันจะ“ถูกต้องทางการเมือง”มากกว่า แต่อย่างว่า สำหรับทักษิณ ซึ่งเป็นนายทุน ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ โรงหนังอาร์ท (และร้านหนังสือดอกหญ้าอนุสาวรีย์ชัย ที่ถูกเผาไปเช่นกัน) ย่อมเป็นสิ่งที่คุกคามและอันตรายกว่าศูนย์การค้าที่ใหญ่และหรูที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
26 พ.ค.
6 โมงเช้า นาฬิกาปลุกร้องกรี๊ด มันจะให้ลุกขึ้นไปร่วมพิธีทุกศาสนาเพื่อภาวนาเรียกขวัญคืนราชประสงค์ สี่แยกที่ชุ่มโชกด้วยความเกลียดชัง ความเท็จ และเลือด แต่ลุกไม่ไหวจริงๆ เมื่อวานเราหนักกันไปหน่อย เพราะมีคนดังรักสนุกมาเยือนในคราบของคุณตึ๋ง ชาติชาย ปุยเปีย ศิลปินที่ปรึกษา ซึ่งแวะมาทาสีศพของตัวเองสำหรับฉากแขวนคอ
วันนี้คนงานก่อสร้างตึกสูงสามตึกรอบด้านกลับมาทำงานหมดแล้ว ตอกเสาเข็มกันอย่างเมามัน ทุกอย่างดูเหมือนปกติ ผู้คนทำงานกันอย่างขมีขมัน – สาวๆ ของเรายังไปท่องหาชุดที่พาหุรัดเลย ราวกับว่าทุกคนคิดถึงการทำงาน กรุงเทพมหานครคนเหล็กกลับมาแล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
0 comments:
Post a Comment